“สมอง” หัวใจของเซฟตี้ (Brain v.s. Safety)
เผยแพร่เมื่อ 25/9/2567
เขียนโดย คุณอภิวัฒน์ สุนทรมิตรภาพ
ผู้เชี่ยวชาญความปลอดภัย และที่ปรึกษาอิสระ
“สมอง” หัวใจของเซฟตี้
Brain v.s. Safety
การเข้าใจธรรมชาติของสมองมนุษย์และพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เราปรับปรุงความปลอดภัยในงานอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจะสามารถออกแบบระบบและนโยบายความปลอดภัยที่มีการทำงานร่วมกับความเข้าใจทางจิตวิทยาได้อย่างเหมาะสม ตัวอย่างและอุปสรรคที่เกี่ยวข้องมีดังนี้:
1. การตอบสนองของมนุษย์:
ธรรมชาติของสมองมนุษย์: สมองมนุษย์มีการตอบสนองต่อสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมได้อย่างรวดเร็ว มันสามารถรับรู้ความเสี่ยงและตอบสนองในทันที เพื่อป้องกันตนเองหรือผู้อื่นจากอันตรายเมื่อมีเสียงรบกวนหรือเห็นเครื่องจักรทำงานผิดปกติ พนักงานมักจะหยุดการทำงานและรายงานปัญหาให้ผู้ควบคุมการผลิตเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
2. การตระหนักถึงความเสี่ยง:
ธรรมชาติของสมองมนุษย์: สมองมนุษย์มีความสามารถในการระบุและตระหนักถึงความเสี่ยงที่เป็นไปได้ โดยสามารถรับรู้ความเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อม การดำเนินการ หรือพฤติกรรมของผู้อื่น การระบุและรายงานสิ่งที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยในโรงงาน โดยพนักงานอาจจะระบุความเสี่ยงในการใช้เครื่องจักรที่มีความเสี่ยงสูง
3. การปรับปรุงกระบวนการ:
ธรรมชาติของสมองมนุษย์: สมองมนุษย์มีความสามารถในการปรับปรุงและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามเงื่อนไขและสถานการณ์ การปรับเปลี่ยนและปรับปรุงกระบวนการการทำงานเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น การสร้างขั้นตอนการทำงานที่ปลอดภัยมากขึ้นหรือการออกแบบระบบป้องกันความเสี่ยง
อุปสรรค:
อุปสรรคสำคัญที่เกี่ยวข้องคือการมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติและพฤติกรรมของสมองมนุษย์ที่ไม่เพียงพอ บางครั้งอาจมีความไม่เข้ากันระหว่างนโยบายและการกระทำของบุคลากร เช่น การละเมิดนโยบายความปลอดภัยเพราะการประสานงานที่ไม่ดีหรือขาดการเข้าใจในการปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยที่ตั้งไว้
อุปสรรคธรรมชาติของสมองมนุษย์และพฤติกรรมสามารถเป็นอุปสรรคในการพัฒนาความปลอดภัยในงานอุตสาหกรรมได้ในหลายด้าน:
1. ความรับผิดชอบส่วนตัวที่ต่ำ: บางครั้งสมองมนุษย์อาจมีแนวโน้มที่จะมองข้ามความเสี่ยงหรือไม่สนใจกฎและมาตรการความปลอดภัย เนื่องจากพฤติกรรมเหล่านี้อาจเกิดขึ้นเมื่อมีความรับผิดชอบส่วนตัวที่ต่ำ
2. การเข้าใจผิดเกี่ยวกับความเสี่ยง: บางครั้งผู้คนอาจมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในสถานที่ทำงานคิดว่าทำไปนานๆความเสี่ยงจะลดลง ทำให้พวกเขาเสี่ยงต่ออุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บโดยไม่รู้ตัว
3. ความสามารถในการสร้างความสับสนและล่วงละเมิด: สมองมนุษย์สามารถสร้างความสับสนและละเมิดมาตรการความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน โดยการละเมิดมาตรการหรือข้ามเครื่องมือความปลอดภัยที่มีอยู่
4. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: บางครั้งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการทำงานอาจเป็นความท้าทายในการทำให้มีการปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยที่กำหนดไว้
5. การสะสมความรู้สึกของผู้คน: มนุษย์มีความรู้สึกและอารมณ์ที่สามารถสะสมไว้ตามเวลา การระเบิดอารมณ์เช่นความโกรธหรือความเครียดอาจส่งผลต่อพฤติกรรมและการปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยในที่ทำงาน
สมองคนเราส่วนใหญ่ชอบอะไรใหม่ๆแต่งานทุกอย่างทำไปนานๆก็จะกลายเป็นกิจวัตรประจำและถ้าองค์กรไม่พัฒนาสร้างความเข้าใจและขาดการกระตุ้นที่ดีก็มีแนวโน้มที่จะเจอกับดักอุปสรรคดังกล่าวข้างบน เราตื่นเต้นกับการทำ behavior based safety ในตอนแรกๆแต่พออยู่ไปสักปีการส่งเสริม(promotion)ต่างๆก็เหมือนเดิม งานเสี่ยงสูงหรือ critical task ที่ไม่เคยทำหรือนานๆทำทีมักไม่เกิดอุบัติเหตุเพราะระวังตัวแจ แต่อุบัติเหตุมักเกิดกับงานที่ทำประจำหรือroutine work จนเรามักพูดติดปากว่า ตายน้ำตื้น งานประจำทำไปนานๆความชะล่าใจ (complacency) ก็เริ่มคลืบคลานมาอีก ต้องถามตัวเองว่ามองเห็นสัญญานเตือน (weak signal) ไหม
การเรียนรู้และการสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมและธรรมชาติของสมองมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นจากอุปสรรคดังกล่าว โดยการอบรมและการสร้างการเข้าใจให้กับบุคลากรเกี่ยวกับความสำคัญของการปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยอาจช่วยเพิ่มการตระหนักและการรับผิดชอบในการป้องกันอุบัติเหตุในที่ทำงานได้
การใช้ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของสมองมนุษย์และพฤติกรรมในงานอุตสาหกรรมช่วยให้เราปรับปรุงความปลอดภัยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม อุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการไม่เข้าใจหรือการขาดความร่วมมือยังคงเป็นปัญหาที่ต้องการการจัดการอย่างสมบูรณ์แบบ