เมื่อตกจากที่สูงต้องทำอย่างไร
เผยแพร่เมื่อ: 13/06/2563....,
เขียนโดย คุณรุจน์ เฉลยไตร
CEO บริษัท เพอร์เฟคเซฟตี้เทรนนิ่งแอนด์คอนซัลติ้ง จำกัด
รองประธานชมรมจป.พระนคร
เมื่อตกจากที่สูงต้องทำอย่างไร
ช่วงนี้จะข่าวว่ามีอุบัติเหตุตกที่สูงบ่อย ๆ ในวงการก่อสร้างทั้งโครงการเล็กหรือโครงการใหญ่มีทั้งคนตายและบาดเจ็บ ซึ่งถ้าพูดถึง การตกจากที่สูง ถ้าใครไม่เคยตกก็คงไม่รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดว่ามันมีรู้สึกอย่างไรเพราะมันอธิบายได้ยากมากจริงๆครับ เปรียบได้เหมือนกับ คนอกหัก เจ็บปวดอย่างไรและทำไมคนอกหักทำไมต้องเตะกระป๋อง ซึ่งเรามักจะเห็นในหนังไทยยุคอาหลอง (ฉลอง ภักดีวิจิตร) มีต้องเดินป่า ย่างไก่ ระเบิดภูเขา เผากระท่อม นั่นแหละครับ ถ้าท่านเกิดมาไม่เคยอกหัก ก็ไม่รู้ซึ้งถึงความรู้สึกนั้น แต่สำหรับผมรู้ถึงความเจ็บปวดทั้ง 2 เรื่องนั้นแหละครับ แต่เรื่องอกหักมีประสบการณ์น้อยครับ มีรุนแรงอยู่ครั้งเดียวตอนสมัยอยู่ป.2 ผมหลงรัก คุณจรรยา ลูกสาวครูใหญ่ แต่เราต้องมีอันต้องเลิกลากันไปเพราะ เธอไม่ให้ผมลอกการบ้านวิชาภาษาไทย ตอนนั้น ผมเสียใจมาก ทุกวันนี้ผมยังจำได้ดี
แต่สำหรับถ้าตกจากที่สูงมีประสบการณ์เรื่องการตกจากที่สูงของผม ซึ่งที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังมากก่อนเพราะเป็นเรื่องที่มันเศร้าเมื่อเล่าแล้วมันจี้ครับ
ย้อนหลังจากปัจจุบันไปเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ผมทำงานอยู่ที่บริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่ของเมืองไทยแห่งหนึ่ง ในตำแหน่งวิศวกร ซึ่งเป็นที่รักของเจ้านายมาก ในฐานะทำงานเก่งทำงานไว นายจึงรัก.. แต่เพื่อนๆหลายคนชอบแซวผมว่า “ผมชอบเลียเจ้านาย” แต่ผมไม่โกรธพวกเขาหรอกครับ เพราะผมถือคติทำงานกับนายต้อง “ได้ครับพี่ ดีครับท่าน ทันครับผม เหมาะสมครับนาย” เช่น นายผมเล่นกอล์ฟ ผมก็เล่นกอล์ฟตามครับ แต่ถ้านายเล่นกอล์ฟแล้วผมไปตีแบด หรือไปขี่จักรยาน ผมคงรุ่งกระมังครับ 5555
วันนั้นเป็นวันพระผมจำได้ดีเพราะผมไม่ได้บิณฑบาต เลยต้องเอาข้าวไปถวายที่วัดแถวบ้าน ก่อนที่จะรีบขับรถกระบะของบริษัท เพื่อไปที่โรงงาน แห่งหนึ่งที่จังหวัดอยุธยา ที่จะให้ประมูลก่อสร้างเพิ่มเติม โดยที่ผมต้องแวะรับ นายช่างเรวัฒน์ วิศวกร รุ่นเดียวกันที่เพื่อนสนิทรวมทั้งผมจะเรียกวันเขาว่า ไอ้แอ๊ด เราใช้เวลาประมาณ 45 นาที ก็ถึงบริษัทซึ่งตอนนั้นเป็นเวลา 7.45 น. ประตูโรงานเปิดแล้ว พนักงาน ทะยอยกันตอกบัตรเพื่อเข้าโรงาน
“ต้องการพบใครครับ นาย“ รปภ. ถามผมอย่างเป็นกันเอง
"คุณประวิทย์ ผู้จัดการโรงงานครับ" เพื่อนแอ๊ดตอบ ไปแบบเป็นมิตรเช่นเดียวกัน
"งั้นให้จป.อบรม ก่อนนะครับ" รภป.อีกคนที่อยู่หลังป้อมตะโกนมาเสียงค่อนข้างจะเหนอ
"จป.ย่อมาจากอะไรวะ" แอ๊ดถามผมอย่างคนไม่รู้จริงๆ เพราะปกติอยู่แต่ในสำนักงาน
"เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน" ผมตอบไปอย่างอารมณ์เสียเพราะพวกนี้ชอบสั่งให้ลูกน้องหยุดงานผมบ่อยๆ ที่มันไม่ใส่หมวกนิรภัย
"อ้อ! เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หัวหน้ายามพวกนี้" แอ๊ดบอกผมอย่างแสดงว่าเข้าใจ
"เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ไม่ใช่ รปภ." ผมตอบแบบยิ้มๆ
"ได้ครับ! รอนานไหม แล้วงานที่จะให้ทำอยู่ไกลไหม" ผมตอบและถามไปด้วย แบบชักไม่ค่อยสบอารมณ์เมื่อได้ยินว่า จป.
"นานไม่นานผมไม่รู้ครับ แต่งานที่จะทำอยู่ในห้องหลังป้อมนี้แหละครับ ปีนไปมองผ่านช่องระบายอากาศเข้าไปนายก็เห็นแล้วครับ" รปภ.คนแรกบอกอย่างเป็นมิตรเช่นเดิม แล้วก็ก้มหน้าก้มตาเขียนจดบันทึกต่อไป
ผมนึกในใจนี่มันวิศวกรปลอมตัวมาเป็นรปภ.หรือปล่าววะเนี๊ยะ มันถึงได้รู้ข้อมูลเป็นอย่างดี
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าสำหรับคนที่รอคอย ...8.30 น. จป.ก็ยังไม่มา และรปภ.ชุดเก่าก็ออกเวรไปแล้ว ชุดใหม่ก็กำลังนั่งกินข้าวเช้ากับแกงหน่อไม้ดองใส่ไก่ และไข่พะโล้ อยู่บนโต๊ะใกล้ๆผม ที่นั่งรออยู่ (ที่จำได้ดีเพราะมันเหมือนกับที่ผมใส่บาตรเมื่อเช้า)
"แอ๊ด เดินไปดูหน้างานกัน" ผมชวนเพื่อนแอ๊ดอย่างอารมณ์เสียเพราะเริ่มหิวข้าว เพราะกลิ่นหน่อไม้ดองใส่ไก่เข้ามาเตะจมูก
"ไม่รอจป.ก่อนรึ" แอ๊ดถามผมพร้อมกลืนน้ำลายเพราะกลิ่นหน้าแกงหอมมาก
"ไม่ต้องรอหรอก ใกล้แค่นี้เอง!! อย่าไปสนใจมากนักเลย พวกจป.มันเป็นพวกวิตกจริต!!" ผมตอบไปเพราะมองเห็นหน้าต่างของห้องจากที่ผมนั่งห่างไม่ถึง 50 เมตร แล้วก็เป็นพื้นที่โล่งๆ ไม่น่ามีอันตรายอะไร
"ไปก็ไป!! แล้วแต่รุจน์" เพื่อนแอ๊ดตอบแบบไม่อยากขัดใจผม
เราสองคนเดินไปที่ห้องนั้นอย่างช้าๆโดยโกหก รปภ.ว่าจะเข้าห้องน้ำที่อยู่หลังป้อม แต่เราสองคนก็ไม่สามารถเข้าห้องได้เนื่องจากห้องล๊อก หนทางเดียวทีจะมองเห็นงานที่จะให้ผมทำ คือปีนไปดูจากช่องระบายอากาศ ซึ่งสูงจากพื้นประมาณ 5 เมตร แต่ด้านล่างมีขอบหน้าต่างที่กว้างพอทีจะยืนได้
"แอ๊ด เอ็งปีนได้ไหม" ผมถามเพื่อนในฐานะที่เพื่อนผมตัวเล็กกว่าผมมากและที่สำคัญ ผมก็มีความกลัว ขึ้นมา..จึงให้เพื่อนเสี่ยงตายก่อน
"งานไม่ยากวะ ลองขึ้นมาดูสิ" เพื่อนผมปีนไปยืนที่ขอบหน้าต่างแล้วมองผ่านช่องระบายอากาศไปด้านในห้อง
"เออวะ ไม่น่ายากจริงๆด้วย" ผมพูดกับเพื่อนแอ๊ดหลังจากที่ผมปีนไปยืนที่ขอบหน้าต่างเพื่อมองผ่านช่องระบายอากาศเข้าไปในห้อง
แอ๊ดพูดอะไรกับผมอีก 2-3 คำและกระโดดลงมาที่พื้นเพื่อเดินกลับไปที่ป้อมรปภ. ซึ่งสังเกตเห็นว่ามีคน 2 คนใส่หมวกสีเขียวยืนคุยกับ รปภ. ผมเดาไม่ผิด น่าจะเป็นจป.
ระหว่างที่แอ๊ดกระโดดลงมาที่พื้นผมก็สังเกตเห็นว่า แอ๊ด กระโดดลงมาซึ่งเป็นบ่อมีฝาเหล็กปิดอยู่แล้วไม่เป็นไร ผมเลยกระโดดลงตามมาบ้าง.......จิ๊กโด่ ฝาบ่อมันพลิกครับทำให้ผมตกลงไปด้านล่างซึ่งมีความลึกประมาณ 5 เมตร หลายคนอาจจะคิดถึงพ่อแม่ แต่พ่อแม่ผมคงช่วยไม่ได้เพราะยังไม่ตาย ผมคิดถึง “ครูวิมล” หลายคนอาจจะไม่รู้จักแต่ผมรู้จักเพราะเป็นครูสอนวิชายืดหยุ่นผมตอน ม.2 “เก็บ คอ งอ เข่า” เข้ามาในสมองทันที.. ผมก็ทำทันที แต่..กางเกงเป้าแตกครับเพราะผมลื่น เพราะพื้นด้านล่างเป็นน้ำแฉะ แฉะ ระหว่างนั้น ฝาบ่อที่อยู่ด้านบนก็ล่วงลงมาทับผมอีก ท่านผู้อ่านครับสิ่งแรกที่ผมจับรู้ไม๊อะไร(..........) อยู่หรือป่าว จับแล้วมันไม่เจอ ใจผมหายแวบ (รู้ตอนหลังมันไม่รู้สึกเพราะมันชา) พอมองขึ้นไปบนปากบ่อ เห็นคนงานมุงอยู่บนปากบ่อแล้วชี้ลงมาที่ผมว่า “ ตายแล้ว ตายแล้ว” ยิ่งทำให้ใจของผมใจเสียยิ่งขึ้น มีชายคนหนึ่งโยนเชือกลงมา แล้วตะโกนมาว่า ผูกที่เอว เพื่อจะดึงขึ้นมา ผมรวบรวมพลังครั้งสุดท้ายแล้วตะโกนไปว่า “ ไอ้บ้า “ แล้วผมก็มารู้สึกตัวอีกทีอยู่บนรถกะบะ คันที่ผมขับมาจากกรุงเทพเมื่อเช้า แต่คนขับเป็นใครนั้น..ผมไม่รู้ และก็ไม่ใช่ เพื่อนแอ๊ดเพราะหัวผมหนุนตักเขาอยู่เพื่อนำส่งโรงพยาบาล โดยเพื่อนแอ๊ดตบที่ตัวเรียกชื่อ ไอ้รุจน์ ไอ้รุจน์ อย่าหลับ อย่าหลับ ผมพอได้สติ พูดกับเพื่อนแอ๊ดของผมเบาๆว่า ไอ้แอ๊ดกูไม่ได้โดนงูกัดนะเพื่อน แสงแดดมันแทงตากู สาเหตุที่แสงแดดแทงตาเพราะระหว่างนอนราบกับกระบะรถนั้นเป็นเวลาที่แสงแดดเริ่มจ้าแล้วทำให้ผมต้องหลับตลอดหลังจากที่ฟื้นแล้ว เมื่อไปถึงโรงพยาบาล หมอเอ็กซเรย์พบไม่เป็นไรเลย นอกจากมีร่องรอยถูกของมีคมบาดที่บริเวณรักแร้..ทำให้ทุกคนงงมากว่าตกจากที่สูงทำไมมีแผลที่รักแร้ ..ผมนอนโรงพยาบาลอยู่ 3 วันรักษาบาดแผลที่รักแร้
หลังจากผมออกจากโรงพยาบาลก่อนที่ผมจะกลับกรุงเทพ ผมกลับไปที่โรงงานอีกครั้ง และไปที่เกิดเหตุ
"นายหายดีแล้วหรือครับ" รปภ. คนที่กินข้าวกับหน่อไม้ดองใส่ไก่ ถามผม
"หายดีแล้วครับ เออ ใครเป็นคนเอาผมขึ้นมาจากบ่อครับ" ผมตอบและถามไปพร้อมๆกัน
"ผมเองแหละครับนาย ..ผมลงเอาเชือกไปผูกที่ตัวนายแล้วช่วยกันดึงขึ้นมาครับ" เขาตอบแบบยิ้มๆ
"ใช้เชือกมัดที่ตัวผมแล้วดึงขึ้นมา!" ผมอุทานเสียงลั่น
"ทำไงได้ครับนาย ผมบอกให้นายรอจป. เพื่อเข้าจะได้พาเข้าไปพื้นที่อันตราย นายก็ไม่รอ มองพวกจป.เป็นศัตรู ผมกลัวนายจะมาตายตรงนี้เลยต้องใช้เชือกมัดตัวนายแล้วดึงยกขึ้นมานั้นแหละครับ" รปภ.กล่าวกับผมและเพื่อนแอ๊ดอย่างจริงจัง เชิงต่อว่า
"แต่ถึงอย่างไรก็ตาม จากกรณีของนาย ทำให้พวกผมรู้จากทีมจป. ว่าการเคลื่อนย้ายแบบนั้นเป็นวิธีที่ผิด ผู้ประสบภัยอาจตายหรือพิการได้..ตอนนี้พวกผมผ่านการอบรมและมีอุปกรณ์การเคลื่อนย้ายครบเลยครับแต่ขาดลองเหตุการณ์จริง รบกวนนายอีกสักครั้งได้ไหม" รปภ. กล่าวกับผมแบบเชิงล้อเล่น
ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่ความรู้สึกผมตอนนั้น ผมรอดตายเพราะครูวิมลแท้ ๆ ที่สอนตั้งแต่เด็กว่า “ทุกครั้งที่ตกจากที่สูง ให้เก็บคอ งอ เข่า” และมาถึงตอนนั้นผมเข้าถึงสัจธรรมความสำคัญของจป. เข้าใจท่องแท้ว่างานจป.ช่วยคุ้มครองชีวิตคนทำงานอย่างไร และการปฏิบัติตาม procedure ด้านความปลอดภัยว่าเป็นสิ่งที่จะละเลยไม่ได้เด็ดขาด
ความสูงในที่นี้ของผมหมายถึงการทำงานบนที่สูงนะครับ ไม่ใช่ยิ่งสูงแล้วยิ่งหนาวนะครับ 555555